ทำประกันอัคคีภัยแบบไหน คุ้มค่าที่สุด
เชื่อว่าทุกคนก็คงคิดเหมือนกันว่า บ้าน คือทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงและมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต คงไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับบ้านของตัวเองแน่นอน เช่น ไฟไหม้ แต่ขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุถึงแม้ว่าจะพยายามป้องกันทุกวิถีทางแต่ก็คงไม่สามารถรับประกันได้ว่าอุบัติภัยต่างๆจะไม่เกิดขึ้นกับบ้านของคุณ ดังนั้นการทำประกันอัคคีภัยจึงมีความสำคัญมาก เพราะมีส่วนช่วยลดความสูญเสียหรืออย่างน้อยก็มีการจ่ายค่าสินไหมเป็นเงินชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายเมื่อเปรียบเทียบกับความคุ้มครองที่ได้รับต้องบอกว่าถูกมาก เช่น ทุนประกัน 1,000,000 บาท ค่าเบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณ 1,100 บาท เท่านั้น
ทำประกันอัคคีภัยแบบไหนดี? ถึงจะคุ้มค่ากับค่าเบี้ยประกันที่จ่ายและครอบคลุมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่บริษัทประกันภัยรับประกัน
การทำประกันให้ครอบคลุมมูลค่าทรัพย์สิน
ทรัพย์สินที่ทำประกันอัคคีภัยได้คือ สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดของบ้าน รวมทั้งกำแพง ประตูรั้ว และส่วนที่ต่อเติมบ้านแต่ไม่รวมที่ดิน อีกทั้งยังเลือกทำประกันทรัพย์สินภายในบ้านได้อีกด้วย เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ภายในบ้าน ฯลฯ โดยในการทำประกันอัคคีภัยควรทำทุนประกันให้ครอบคลุมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด เพราะหากเกิดเหตุทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ก็จะได้รับค่าสินไหมตามมูลค่าที่เสียหายจริง เช่น ทำทุนประกันไว้ที่ 1 ล้านบาท ทรัพย์สินมีมูลค่าที่ 1 ล้านบาทถ้าเกิดเหตุเสียหาย ก็จะได้รับค่าสินไหมตามความเสียหายจริง แต่ถ้าทำประกันต่ำกว่ามูลค่าทรัพย์สิน ค่าสินไหมจะได้รับตามสัดส่วน เช่น ทำทุนประกันที่ 700,000 บาท แต่ทรัพย์สินมีมูลค่า 1 ล้านบาท เท่ากับทำประกัน 70% ของมูลค่าทรัพย์สิน หากเกิดเหตุทรัพย์สินเสียหายจริงที่ 500,000 บาท ก็จะได้ค่าสินไหมเพียง 350,000 บาทเท่านั้น
ซื้อความคุ้มครองพิเศษเพิ่มเติม
โดยทั่วไป การทำประกันอัคคีภัยจะได้รับความคุ้มครองมาตรฐาน เช่น ภัยที่เกิดจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด หรือภัยเนื่องจากน้ำซึ่งไม่ใช่ภัยน้ำท่วม ทั้งหมดนี้สามารถซื้อความคุ้มครองพิเศษเพิ่มเติมเพื่อสร้างความอุ่นใจให้มากขึ้น ได้แก่ ภัยน้ำท่วม แผ่นดินไหว เหตุการณ์จลาจลและนัดหยุดงาน โดยเงื่อนไขการรับประกันจะขึ้นอยู่กับบริษัทประกันพิจารณาเป็นรายๆ ไป
เลือกระยะเวลาความคุ้มครองยาว
ระยะเวลาของความคุ้มครองยาวนานเท่าไหร่ เบี้ยประกันก็จะถูกลง ถ้าเลือกทำประกันให้มีระยะเวลาความคุ้มครองยาวเกิน 1 ปี ค่าเบี้ยประกันก็จะถูกลง โดยค่าเบี้ยประกันที่มีระยะเวลาความคุ้มครอง 2 ปี จะคิดอัตรา 175% ของอัตราค่าเบี้ยประกันภัย 1 ปี จากปกติ 200% และระยะเวลาความคุ้มครอง 3 ปี ก็จะคิดอัตราค่าเบี้ยประกัน 250% ของอัตราเบี้ยประกัน 1 ปี จากปกติ 300% เช่น ค่าเบี้ยประกัน 1 ปี เท่ากับ 1,000 บาท ค่าเบี้ยประกัน 2 ปี ก็จะเท่ากับ 1,750 บาท ทำให้ประหยัดค่าเบี้ยประกันไป 250 บาท และหากเลือกทำประกัน 3 ปี ค่าเบี้ยประกัน 2,500 บาท (1,000X250%) ก็จะยิ่งประหยัดไปได้ถึง 500 บาท จากตัวอย่างจะพบว่ายิ่งเลือกระยะเวลาความคุ้มครองยาวก็จะยิ่งช่วยประหยัดค่าเบี้ยประกันได้มากขึ้น
อีกเรื่องหนึ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้ก็คือ การติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันภัยไว้ในบ้าน เช่น อุปกรณ์ถังดับเพลิง เครื่องตรวจจับควัน ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สามารถช่วยให้บริษัทประกันพิจารณาค่าเบี้ยให้ถูกลง และอุปกรณ์ป้องกันภัยยังช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ทันที หากมีอุบัติเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น