เรียนรู้และเข้าใจก่อนเริ่มต้นทำประกันอัคคีภัยบ้าน
1.ต้องครอบคลุมมูลค่าบ้านและทรัพย์สินภายในสิ่งปลูกสร้าง
การทำประกันภัยที่อยู่อาศัยควรทำให้ครอบคลุมมูลค่าโครงสร้างบ้านและทรัพย์สินภายในสิ่งปลูกสร้าง ไม่ควรทำต่ำกว่าหรือเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริง เพราะการเคลมประกันภัย บริษัทจะจ่ายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่จะไม่เกินมูลค่าของทรัพย์สินที่ได้ทำประกันไว้ บางท่านอาจจะยังไม่เข้าใจ หลักการประกันภัยที่อยู่อาศัย ว่าเราควรทำทุนประกันมูลค่าเท่าไหร่ถึงจะครอบคลุม ขอยกตัวอย่างเช่น ซื้อบ้านพร้อมที่ดินมาในราคา 10,000,000 บาท ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติม 1,000,000 บาท เราต้องแยกมูลค่าโครงสร้างของตัวบ้านออกจากราคาที่ดิน หากราคาที่ดินมีมูลค่า 5,000,000 บาท โครงสร้างของบ้านมีมูลค่า 5,000,000 บาท ถ้าเราทำประกันภัยจะใช้ทุนประกันภัย 6,000,000 บาท (โครงสร้าง 5,000,000+เฟอร์นิเจอร์ 1,000,000) คือทุนที่ครอบคลุมมูลค่าทรัพย์สิน ทำให้เราไม่เสียประโยชน์หากมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน แต่ถ้าหากว่าเราทำทุนประกันตามราคาที่เราซื้อมา คือ บ้านพร้อมที่ดิน 10,000,000+เฟอร์นิเจอร์ 1,000,000 บาท รวมเป็นทุนประกัน 11,000,000 บาท ในกรณีนี้เราจะต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยที่สูงขึ้น เกินความจำเป็น ซึ่งผิดหลักประกันภัย หากเกิดความเสียหายขึ้นมา 100% หน่วยประเมินความเสียหายของบริษัทประกันภัย ได้ประเมินความเสียหายจริงที่เกิดขึ้น เป็นมูลค่า 6,000,000 บาท บริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพียง 6,000,000 บาท ตามความเสียหายจริง ส่วนเบี้ยแพงที่จ่ายไปคือเสียเปล่า เพราะฉะนั้นทางที่ดีควรทำทุนที่ 6,000,000 บาทนั้นเหมาะสมแล้ว
2.ทำประกันอัคคีภัยบ้านน้อยกว่ามูลค่าจริงได้ไหม
จากตัวอย่างข้างต้น หากผู้ซื้อประกันต้องการทำทุนประกันต่ำกว่ามูลค่าจริง แต่ไม่ควรทำต่ำกว่า 80%ของมูลค่าจริง ทุน 6,000,000 คือ ทุน 100% ถ้า 4,800,000 คือ ทุน 80% หากเกิดกรณีเคลมมีความเสียหายทั้งหมดขึ้นมา แม้บริษัทจะประเมินความเสียหายเป็นมูลค่า 6,000,000 บาทก็ตามแต่จะได้รับค่าสินไหมทดแทน 4,800,000 บาท ตามทุนประกัน แสดงว่าผู้ซื้อประกันต้องรับผิดชอบค่าเสียหายส่วนต่างไว้เองจำนวน 1,200,000 บาท แต่ถ้าหากซื้อประกันอัคคีภัยที่ต่ำกว่า 80%ของมูลค่า เช่นทำทุนประกันภัยที่ 3,000,000 บาทคิดเป็น 50% ของมูลค่าทรัพย์สิน ภายหลังเกิดความเสียหายต่อบ้านและทรัพย์สินภายในทั้งหมด ประเมินความเสียหายทั้งหมดเป็นจำนวน 6,000,000 บาท จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียง 1,500,000 บาท (3,000,000*50%) จะทำให้ผู้ซื้อประกันภัยต้องรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นในส่วนต่าง คือ 4,500,000 บาท
3.ประกันอัคคีภัยบ้านคุ้มครองอะไรบ้าง
ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยจะให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจาก
1.ไฟไหม้ รวมถึงไฟไหม้ป่า พุ่มไม้ พงรก และการเผาป่าเพื่อปราบพื้นที่
2. ฟ้าผ่า รวมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อเครื่องไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เกิดจากการลัดวงจรเนื่องจากฟ้าผ่า
3. การระเบิดทุกชนิด
4. ภัยจากยานพาหนะ หรือช้าง ม้า วัว ควาย
– จากการชนโดยยานพาหนะต่าง ๆ (รวมถึงช้าง ม้า วัว ควาย)
– แต่ต้องไม่ใช่ยานพาหนะของผู้เอาประกันภัย
5. ภัยจากอากาศยานหรือวัตถุที่ตกจากอากาศยาน
– จากการชน หรือตกใส่
– ตัวอากาศยาน หรือ ของที่ตกจากอากาศยาน
– อากาศยาน ให้หมายรวมถึง จรวด และยานอวกาศด้วย
6. ภัยเนื่องจากน้ำ
– เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุ
– จากการปล่อย รั่วไหล ล้น
– จากท่อน้ำ ถังน้ำฯ รวมถึงน้ำฝนที่ผ่านเข้าทางอากาศที่ชำรุด
– แต่ไม่รวมถึง น้ำท่วม และท่อประปาที่แตกนอกอาคาร
4.ภัยที่สามารถซื้อเพิ่มเติมได้
หากความคุ้มครองที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ อาจจะเป็นจำนวนทุนประกันในแต่ละภัยหรือยังไม่ครอบคลุมภัยท่เราต้องการสามารถซื้อประกันภัยเพิ่มเติมได้ ภัยที่นิยมซื้อเพิ่มเติมได้แก่ ภัยน้ำท่วมและภัยโจรกรรม
1.ภัยลมพายุ
2.ภัยจากลูกเห็บ
3.ภัยจากควัน
4.ภัยแผ่นดินไหว
5.ภัยน้ำท่วม
6.ภัยจลาจลและนัดหยุดงาน
7.ภัยเนื่องจากป่าเถื่อนและการกระทำด้วยเจตนาร้าย
8.ภัยระอุ
9.ภัยระอุที่มีการลุกไหม้ / ระเบิด
10.ภัยต่อเครื่องไฟฟ้า
11.ภัยโจรกรรม
5.เลือกระยะเวลาคุ้มครองแบบไหนดี
ประกันอัคคีภัยบ้านส่วนใหญ่จะมีให้เราเลือกระยะเวลาคุ้มครอง 1 – 5 ปี ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี จะมีค่าเบี้ยประกันในอัตรา 100% หากซื้อระยะเวลา 2 ปี จะคิดในอัตราที่ลดลงน้อยกว่า ทำให้ระยะเวลาคุ้มครอง 2 ปี ถูกกว่าระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี หากทำระยะเวลาคุ้มครอง 5 ปียิ่งจะทำให้ค่าเบี้ยประกันภัยถูกลงไปอีกหากนำมาคิดเปรียบเทียบหารเฉลี่ยต่อปีและยังทำให้ไม่ต้องทำเรื่องต่อประกันภัยทุกๆปีอีกด้วย